เรื่องน่ารู้ของ โคลีน และวิตามินบี คอมเพล็กซ์

โคลีน, Choline

เรื่องน่ารู้ของ โคลีน และวิตามินบี คอมเพล็กซ์

 

          เรื่องน่ารู้ของ โคลีน และวิตามินบี คอมเพล็กซ์  “โคลีน (Choline)” เป็นหนึ่งในสารที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และจัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม โดยโคลีนจะทำงานร่วมกับอิโนซิทอลในกระบวนการใช้ไขมันและคอเลสเตอรอลของร่างกาย

1. เป็นสารอาหารที่จำเป็น และช่วยในการทำงานของระบบประสาท เช่น ความจำและการทำงานของกล้ามเนื้อ
2. ช่วยในการขนส่งไขมันและโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ
3. ช่วยในการทำงานของตับให้เป็นปกติ การขาดโคลีนในสัตว์ทดลอง ทำให้เกิดไขมันสะสมในตับ และนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับ

 

บำรุงสมอง, เรื่องน่ารู้ของ โคลีน และวิตามินบี คอมเพล็กซ์

 

แหล่งที่พบโคลีนในธรรมชาติ

          พบมากใน ไข่แดง ผักใบเขียว ผักกาดหอม ผักลงหัวชนิดต่างๆ ผักกาด ผลไม้รสเปรี้ยว กล้วย ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื้อไก่ หอย นม กะหล่ำปลี ธัญพืช ยีสต์ ตับ จมูกข้าวสาลี

ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับจากโคลีน

  • ช่วยในการสร้างเลซิติน
  • ช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอล โคลีน จะช่วยในการกระจายตัวของคอเลสเตอรอล ไม่ให้คอเลสเตอรอลเกาะที่ผนังหลอดเลือดแดงหรือผนังของถุงน้ำดี
  • ทำงานร่วมกับอิโนซิทอลในการถ่ายเทวิตามินที่ละลายในไขมันให้กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • ป้องกันการเกาะกลุ่มของไขมันไม่ให้เป็นก้อน
  • ช่วยในการส่งกระแสประสาท โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ทำหน้าที่ทางด้านความจำ
  • ช่วยในการแก้ปัญหาความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
  • ช่วยกำจัดสารพิษและยาที่ตกค้างในร่างกาย โดยจะช่วยเสริมการทำงานของตับ
  • ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
  • ช่วยในการรักษาโรคอัลไซเมอร์

 

เรื่องน่ารู้ของ โคลีน และวิตามินบี คอมเพล็กซ์

วิตามินบี

ประโยชน์ของวิตามินบี

          โดยทั่วไปแล้ว เชื่อกันว่าวิตามินบีรวมมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัม ทำให้อารมณ์ดีขึ้น บรรเทาอาการวิตกกังวล ส่งเสริมสุขภาพ และบรรเทาอาการระคายเคืองของผิว วิตามินบีในแต่ละชนิดมีประโยชน์แตกต่างกันดังนี้คือ

  • วิตามิน บี1 และบี2 เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เส้นประสาท และหัวใจที่แข็งแรง บี1 นั้นช่วยส่งเสริมการสร้างเซลล์ใหม่ ขณะที่ บี2 ช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและปกป้องเราจากอนุมูลอิสระ
  • วิตามิน บี3 ทำหน้าที่สำคัญการควบคุมระบบประสาทและระบบขับถ่าย นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนแปลงอาหารให้เป็นพลังงาน
  • วิตามิน บี5 ทำหน้าที่ในการย่อยสลายไขมันและคาร์โบไฮเดรต เปลี่ยนให้เป็นพลังงาน ทั้งยังจำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมน คุณจำเป็นต้องใช้วิตามิน บี5 และ บี12 ในการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่เหมาะสม
  • วิตามิน บี6 ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และจำเป็นต่อกระบวนการผลิตฮอร์โมนและย่อยสลายโปรตีน
  • วิตามิน บี7 เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการผลิตฮอร์โมน
  • วิตามิน บี9 ช่วยให้เซลล์สร้างและบำรุงดีเอ็นเอ และยังช่วยเสริมสร้างการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
  • วิตามิน บี6 บี9 และ บี12 ช่วยส่งเสริมการควบคุมระดับของกรดอะมิโนโฮโมซีสเทอีน (amino acid homocysteine) ซึ่งหากระดับนี้สูงเกินไป คุณอาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้

 

วิตามินบีกับอาการโรคบางชนิด

นักวิจัยเชื่อว่าการรับประทานอาหารเสริมวิตามินบีรวม อาจจะช่วยป้องกันโรคบางชนิดได้ เช่น

  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไตด้วยการรับประทานวิตามิน บี1 วิตามิน บี1 ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงของต้อกระจกได้
  • วิตามิน บี2 ช่วยป้องกันโรคไมเกรน
  • วิตามิน บี3 ช่วยเพิ่มไขมันที่มีความหนาแน่นสูงและลดระดับของคอเลสเตอรอล
  • วิตามิน บี6 ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน และอาการคลื่นไส้ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
  • วิตามิน บี7 เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผิว เส้นผม และเล็บ
  • วิตามิน บี9 เชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับอ่อนได้ สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการให้กำเนิดทารกที่มีความบกพร่องตั้งแต่กำเนิด
  • วิตามิน บี12 ช่วยให้ผู้สูงอายุลดอาการสับสนและควบคุมระดับของสารโฮโมซีสเทอีน

 

โรคเหน็บชา

วิตามินบีกับโรคเหน็บชา

          โรคเหน็บชา (Beriberi) หรือ โรคขาดวิตามินบี 1 เป็นโรคที่พบได้บ่อยในท้องที่ชนบทบางแห่ง โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ภาคอีสาน เป็นกลุ่มอาการที่มีสาเหตุหลักมาจากการขาดวิตามินบี 1 (วิตามินบีหนึ่ง) ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง ต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริม โดยผู้ป่วยจะมีอาการทางคลินิกหลายแบบขึ้นอยู่กับอายุและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็นโรคเหน็บชาในเด็กและโรคเหน็บชาในผู้ใหญ่

          วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือ ไทอะมีน (Thiamine) มีหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเผาผลาญอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้เกิดพลังงานเพื่อให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการนำกระแสความรู้สึกของเส้นประสาท ถ้าร่างกายได้รับวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอก็จะทำให้เป็นโรคเหน็บชาได้ (วิตามินบี 1 มีคุณสมบัติพิเศษคือไม่มีพิษตกค้าง ถ้าร่างกายได้รับมากเกินไปก็จะขับออกมาทันที)

สาเหตุของโรคเหน็บชา

          โรคเหน็บชามักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในผู้ที่ชอบรับประทานข้าวที่ขัดสีจากโรงสีที่มีวิตามินบี 1 อยู่น้อย มิหนำซ้ำยังซาวข้าวและหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ ซึ่งจะทำให้สูญเสียวิตามินบี 1 ไปอีก ส่วนอาหารที่ให้วิตามินบี 1 สูงอย่างเนื้อสัตว์หรือถั่วก็รับประทานน้อย
เกิดจากการกินอาหารที่มีสารทำลายหรือยับยั้งการดูดซึมของวิตามินบี 1 มากเกินไป เช่น ใบชา ใบเมี่ยง หมากพลู ปลาร้า ปลาส้มดิบ แหนมดิบ หอยลายดิบ ปลาน้ำจืดดิบ สีเสียด เป็นต้น
          เกิดจากภาวะที่ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงต้องการวิตามินบี 1 สูงขึ้นด้วย เช่น ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เด็กในช่วงวัยเจริญเติบโต ผู้ใช้แรงงานหรือต้องทำงานหนัก (โดยเฉพาะกรรมกร ชาวนา) ผู้ป่วยที่มีไข้สูง ผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อ ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น จากการเป็นโรคหรือการผ่าตัดเกี่ยวกับทางเดินอาหาร, การฟอกไต (Dialysis), เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism), เป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางพันธุกรรม (Genetic deficiencies) เป็นต้น

 

>>สนใจ โคลีนบี กิฟฟารีน คลิ๊ก<<

 

 

สั่งซื้อออนไลน์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Fanpage : ตัวแทนกิฟฟารีน
Email : mai-mee-jai@hotmail.com
โทร. 090-0491594 /Line : @welove.giffarine

รับสมัครตัวแทนทั่วประเทศ